วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รากศัพท์ (วิธีช่วยจำศัพท์ที่ดี) : dic-dict : to say

      ถ้าเรารู้รากศัพท์ มันจะดีกว่าเราท่องศัพท์เป็นคำๆเพราะการเรียนรากศัพท์ 1 ตัว สามารถทำให้เรารู้คำศัพท์อื่นๆไม่น้อยกว่า 5 คำ เพราะเมื่อไหร่ที่คำมีรากศัพท์เดียวกัน ก็จะแปลไปในทิศทางเดียวกัน มันสามารถช่วยได้มากๆโดยเฉพาะกับคำที่ยาวๆ เช่น unbelievable forgettable notification visualization 
     เมื่อเรารู้ความหมายของคำว่า act ย่อมจะทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า action, active, actor, acting, reaction, activity ไปด้วย คล้ายๆกับภาษาไทยที่ถ้าเรารู้คำว่า ครู/ครุ/ คุรุ แปลว่า ครู ก็จะพอเดาความหมายของคำว่า คุรุสภา, ครุศาสตร์, ครุภัณฑ์ ได้

รากศัพท์ของวันนี้คือ " dic-dict "


คำที่มีรากศัพท์ "dic-dict" แล้วใช้บ่อยๆ ได้แก่
1. predict (v.- กริยา) : คำนี้ประกอบขึ้นจากคำว่า pre (ที่แปลว่าก่อน เช่น pretest) + dict (บอก) รวมกันแล้วจะแปลว่า บอกก่อน บอกล่วงหน้า หรือ ทำนาย นั่นเอง ถ้าเปิดพจนานุกรมแล้วแปลหรูๆหน่อยอาจจะแปลว่าพยากรณ์ ซึ่งค่อนข้างเป็นปัญหากับการท่องจำเพราะเป็นคำที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆ ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจกับรากศัพท์ การผสมคำ แล้วจะทำให้เราจำคำศัพท์ได้ดี และ ใช้ได้อย่างถูกต้อง นอกจาก predict ยังมี prediction (suffix-tion แปลว่า การ/ความ) เป็นคำนาม แปลว่า การทำนาย/ คำทำนาย, predictable (suffix-able แปลว่า สามารถ) เป็น adjective หรือ คำคุณศัพท์ แปลว่า ซึ่งสามารถทำนายได้ เช่น The result is predictable . (ผลการแข่งขันครั้งนี้คาดเดาได้)

2. dictionary (n-คำนาม) : พจนานุกรม เวลาเราอยากจะรู้ความหมายอะไรก็ดูใน dictionary แล้วมันก็จะบอกความหมายเรา และถ้าดูที่ความหมายภาษาไทยก็ยังมีคำว่า พจนะ ที่มีความหมายว่า คำพูด/ ถ้อยคำ อีกด้วย

3. indicate (v.- กริยา) : คำนี้แปลว่า บอก, ชี้, แสดงให้เห็นว่า ส่วนมากนิยมใช้ในการอธิบายกราฟต่างๆ ประมาณว่า "แผนภาพนี้แสดงให้เห็นว่า" "The diagram indicates that... "  แต่ถ้าเป็นเด็กวิทย์ น่าจะคุ้นเคยกับคำว่า indicator เวลาทำแลป หรือเรียนเรื่องกรด-เบส น่าจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ เพราะมันเป็นตัวที่จะบอกได้ว่าในสารละลายมีค่าเป็นกรดหรือเบส เช่น ฟีนอล์ฟทาลีน จะไม่มีสีเมื่ออยู่ในสารละลายกรด และจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู เมื่ออยู่ในสารละลายเบสที่มี pH 8.3

4. dictation (n-คำนาม) :  หลายๆโรงเรียนคงมีการ สอบคำศัพท์ตามครูบอก หรือ dictation นั่นเอง และคำๆเดียวกันนี้ จะถูกนำไปใช้เมื่อพูดถึงการปกครองรูปแบบหนึ่งที่มีผู้นำ คอยบอกๆๆ แล้วคนต้องทำตามซึ่งหมายถึงการปกครอง ระบอบผเด็จการ หรือ dictatorship

และนี่คือคำศัพท์ที่น่าสนใจและคิดว่าเพื่อนๆ น้องๆ น่าจะสามารถนึกถึงชีวิตจริงแล้วคิดตามไปพร้อมๆกันได้นะคะ ......



........หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนนะคะ แล้วก็อย่าลืมรอติดตาม รากศัพท์ตัวต่อๆไปด้วยนะคะ ... 2U ENGLISH   (._. )'

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคในการทำข้อสอบ TOEIC (Part 1-2)





ก่อนอื่นมาลองดูการให้คะแนนกันก่อนนะคะ เพราะหลายๆคนสงสัยว่าคะแนน TOEIC คิดยังไง จะข้อละ 4.5, 4.9 ก็ไม่ใช่ ข้อละ 5 คะแนนก็ไม่เชิง วิธีคิดก็คือ เค้าเทียบคะแนนที่ได้ในแต่ละ part จากตารางด้านล่างนี้

 

ขอบคุณภาพ จาก https://www.bangkok-ict.com/toeic-guidance/


วันนี้จะมาพูดถึงเทคนิคการทำข้อสอบ TOEIC ใน 2 Part แรก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปและทุกๆคนสามารถทำคะแนนได้ค่อนข้างดีถ้าจับจุดได้ และที่สำคัญถ้าทำแค่ 2 พาร์ทนี้ได้เต็ม จะได้คะแนนส่วน Listening ไปแล้ว 185 คะแนนง่ายๆแบบไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องท่องศัพท์เยอะ และไม่ต้องจำแกรมม่าอะไรมากมาย

PART 1  
Photographs 10 ข้อ (มีรูปภาพให้ -> หาคำที่ตรงกับรูปภาพมากที่สุด 4 ตัวเลือก) 
ลักษณะประโยคพื้นฐาน จะสั้นๆ   (1)ประธาน + (2)กริยา + (3)กรรม หรือ ส่วนขยาย 

1. ตัดประธานที่ไม่ใช่ : อันดับแรกก็ดูประธานก่อนว่าเป็นใคร / คนหรือสิ่งของ เช่นเป็นผู้ชายคนเดียว เป็นเด็กๆ เป็นกลุ่มคนหลายๆคน หรือ เป็น รถไฟ เครื่องบิน แต่หลายครั้งที่ประธานจะใช้คำเดียวกันในทั้ง 4 ตัวแลือก เช่น The man, The children, The passenger, The people, The train, Boxes, They เหมือนกันทั้ง 4 ข้อ * ถ้าประโยคขึ้นต้น ด้วย There is / There are จะแปลว่า มี

2. ฟัง -ing : ถ้าประธานเป็นคนวรโฟกัสที่กริยาเพราะมักจะเป็นรูป Ving เพื่อบอกว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่ไม่ได้คุ้นเคยการฟังภาษาอังกฤษเท่าไหร่ เราอาจจะตั้งใจฟังคำที่ลงท้ายด้วย -ing (อิ้ง) แล้วดูว่าตรงกับสิ่งที่ทำรึเปล่า เช่น
          รูปเป็นคนกำลังดื่มน้ำอยู่     He is playing...  / He is working... / He is drinking... / He is sitting...

*ข้อควรระวัง ในภาษาอังกฤษจะมีเรื่อง Voice อยู่ คือทำกับถูกกระทำ ดังนั้นถ้ารูปภาพเป็นสิ่งของถูกกระทำ  ต้องมีคำว่า being + V3 เช่น เป็นรูปเครื่องปริ้น ปริ้นงานอยู่ จะต้อง the document is being printed จะบอกว่า (the document is printing ไม่ได้), Boxes are being loaded  เพราะฉะนั้นถ้าในรูปสิ่งที่เห็นชัดๆคือสิ่งของถูกกระทำ ควรเลือกคำตอบข้อที่มีคำว่า being หรือข้อที่ขึ้นตนด้วย There are 

3. ฟังบุพบท : ส่วนที่สามหลังจากฟังกริยาแล้วจะเจอใน 2 รูปแบบ ถ้าในรูปมีกรรม (สิ่งที่ถูกประธานกระทำ) ให้เลือกข้อที่มีคำศัพท์นั้น แต่อีกลักษณะที่จะเจอได้ คือพวกคำบอกตำแหน่ง (บุพบท : preposition) เช่น in, on, under, around  กรณีหลังจะเจอได้บ่อยกว่าและมักจะหลอกโดยการเปลี่ยนคำบุพบทไปในแต่ละตัวเลือก  - เทคนิคนี้จะช่วยได้ดีเมื่อฟังตั้งแต่ต้นไม่ทัน แต่รู้ว่าในรูปมีกระดาษอยู่บนโต๊ะ ก็ยังจะพอเลือกข้อที่ได้ยินคำว่า On the table ได้


**** แต่ละข้อให้ตั้งสติ ดูรูป - เดาศัพท์ที่คิดว่าจะเจอ (ดูจุดเด่นๆ ไม่ต้องสนใจฉากหลังมากนัก - นึกกริยาที่น่าจะเจอด้วย) - ฟัง แล้วตัดสินใจตอบ อย่าคิดนานนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ****


ตัวอย่างการเดาศัพท์   (แบ่งเป็น 3 ส่วนนะคะ  (1)ประธาน + (2)กริยา + (3)กรรม หรือ ส่วนขยาย  )

1. TOEIC photograph ที่เห็นชัดๆคือ 1.ผู้ชาย- The man   2. ถือ - carry (คำนี้ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) 3. กล่อง - a box 

ตัวเลือก 1. The supermarket is empty (supermarket เป็น ฉากหลัง ไม่ควรขึ้นต้นประโยค Xผิด )
               2. The man is carrying a box .   (คำตอบที่ถูกต้อง -คำสำคัญจะดังชัดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องฟังหรือแปลทุกคำนะคะ เพราะหลายคนจะกลัวฟังไม่ทัน)
               3. The man is wearing a jacket.      (ข้อนี้เราจะได้ยิน man และ jacket ค่อนข้างชัด Xผิด ) 
               4. There are a lot of boxes to move. (คำว่า There are แปลว่า มี มักจะเจอกับรูปที่ไม่มีจุดเด่นอะไรชัดเจน เช่น รูปที่มีนกหลายๆตัวบนพื้น มีคนเยอะยืนอยู่แต่ไม่ชัดเจนว่าทำอะไร  Xผิด )

2.  รูปนี้ไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ น่าจะเจอ 1 - There are (มีเรือเยอะ) - boat / ship (เรือ)    3  - in  - ocean / river/ island/ bay/ harbor  (เดาทุกอย่างที่นึกออกเกี่ยวกับน้ำ)

3.   1. ผู้หญิง - A woman / lady    2.getting    3 ออกจาก - off / out of - รถ the car  
4.   1. คนหลายคน The men / The people/ They  (are ไม่ใช้)   2. ปรึกษา  discussing* talking  ดู looking/ watching  3. ในการประชุม .  meeting- conference - office คำตอบข้อนี้คือ The are discussing on their plan.
5.  รูปนี้ที่เห็นหลักๆเลยคือ ตึก กับ ไฟ -> 1.building  2.on fire ตอบ The buildings are on fire. 

-- ลองฝึกดูนะคะ มีหลายเวปที่สามารถฝึกทำออนไลน์ได้  เช่น 
http://www.english-test.net/toeic/    ทำบ่อยๆ จะทำถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเองค่ะ

PART 2  
มีคนถามหรือพูดอะไรซักอย่างออกมา และ ให้เลือกข้อที่เป็นคำตอบ - หรือการโต้ตอบที่เหมาะสมที่สุด โดยไม่มีอะไรเขียนมาให้- 30 ข้อ
 * พาร์ทนี้จุดที่สำคัญคือต้องฟังคำแรกของคำถามให้ออก - บางคนฟังตอนท้ายออกหมดเลยแต่จับคำแรกไม่ได้ก็จะแทบไม่มีประโยชน์   เช่น  ______ are you going to the office?   ได้ยินหมดเลย แต่คำแรก ไม่แน่ใจว่าเป็น When คุณจะไปออฟฟิศเมื่อไหร่/ How คุณจะไปออฟฟิศยังไง / Why  คุณจะไปออฟฟิศทำไม - ก็จะทำให้ไม่รู้ว่าต้องตอบข้อไหนกันแน่

คำถามหลักๆในภาษาอังกฤษมี 2 ลักษณะ
1. คำถามที่ต้องตอบ Yes/No   คำถามกลุ่มนี้จะขึ้นต้นด้วย กริยาช่วย Do / Does/ Did / Can / Could/ Will/ Would/ Is-am-are/ Was-were/ Should / May/ Have/ Has หรือ ลงท้ายด้วย Question Tag (...,will you? ..,do you? ..,isn't he?) - ถ้าฟังไม่ทันจริงๆ มีอีกวิธีที่สังเกตได้ คือการถามว่า ใช่/ ไม่ใช่ ส่วนมากจะลงท้ายด้วยเสียงสูง คล้ายๆกับเวลาคนไทยบอกว่า ใช่มั๊ย / หิวมั๊ย ..ถ้ารู้ว่าถามแบบนี้ ควรเลือกตอบข้อที่เป็น yes/noได้เลย หรืออาจจะมีคำอื่นที่ใช้แทนการตอบ Yes/No เช่น 
YES - no problem, sure, of course, definitely, that's right etc.  
NO - I'd love to, but... , I don't think so, etc. 

ปัญหาคือ  บางทีเป็น Yes / No ทั้ง 3 ตัวเลือก -> 
1.ฟังสรรพนามในคำตอบให้สอดคล้องกับที่ถาม เช่น ถาม Do you... ตัวเลือกอาจจะมี Yes,it does / No, she doesn't/ Yes, I do  ตัวเลือก ที่ 3 ถูกต้อง
2. ควรฟังอีกคำในคำถามพอให้รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร จะได้เดาคำตอบที่เป็นสถานการณ์เดียวกันได้ เช่น รู้แล้วว่าเป็นคำถาม Yes/No และได้ยินอีกคำว่า dinner แสดงว่าคำตอบต้องเกี่ยวกับอาหารการกินอะไรซักอย่างแน่ๆ  

*ถ้าคำถามมีคำว่า Do you mind... Would you mind 
ให้เลือตอบข้อที่เป็น No, not at all เพราะหลายคนชอบเข้าใจผิด!
(would you mind = คุณจะรังเกียจมั๊ย เลยต้องต้องว่า "ไม่" )

* _____,will you?    ถ้าเจอคำลงท้ายแบบนี้ จะแปลว่าได้ไหม (ขอให้คนทำอะไรให้คล้ายๆคำว่า Please)  

2. คำถามที่ถามข้อมูล ใคร-ทำอะไร-ที่ไหน-เมื่อไหร่...  ขึ้นต้นด้วย wh- ถ้าถาม who ตอบ คน/ชื่อคน/อาชีพ  where ตอบสถานที่ what do you think ตอบเป็นพวกความรู้สึก ประมาณนี้ ระวังจะถามหลอกด้วยการบอกว่า Do you know where he is? หลายคนได้ยิน Do you.. จะนึกว่าต้องตอบ yes/no แต่จริงๆต้องฟังคำว่า where
สำหรับคำว่า how ใช้ถามได้หลายแบบ 
1. how much (ตอบเป็นราคา) 
2. how many(ตอบเป็นจำนวน) 
3. how long (ตอบเป็นระยะเวลา
4. how เฉยๆถามว่าอย่างไร ส่วนมากตอบเป็น adv.  (ลงท้ายด้วย ly หรือพวกความรู้สึก)  
5. how to (ถามถึงวิธี)   
6. how can I get to (ตอบเป็นพวกยานพาหนะ) 
7. how far/old/fast etc.


* Why  "ทำไม"  ไม่ได้จะตอบ because ตลอด ส่วนมากจะตอบ To ...(เพื่อที่จะ)
* Have you / Has "รึยัง"  มักจะตอบว่า Yes, already / No, not yet / No, I'm sorry 

จุดสังเกตอีกอย่างคือ ถ้าในคำถามมีคำว่า will มักจะตอบช่วงเวลาที่อยู่ในอนาคตและ
ถ้ามีคำว่า did/was/were ให้ตอบสิ่งที่เกิดในอดีต 


website สำหรับฝึกทำข้อสอบตอนที่ 2 นะคะ 

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ใครเคยเข้าใจผิดกับคำว่า FREE บ้าง ?


โดยปกติแล้ว ถ้าเวลาเราเห็นคำว่า FREE ในป้ายไหน เราก็จะรีบวิ่งเข้าไปหา เพราะ มันน่าจะแปลว่า ไม่ต้องเสียตัง, ได้มาฟรีๆ, หรือหมายถึงอิสระ ทำได้ตามสบาย แต่จริงๆแล้วต้องดูดีๆก่อนนะคะว่า คำว่า Free อยู่ตรงไหน หรือมาในประโยคลักษณะใด




กรณีแรก ถ้า Free อยู่หน้าคำนาม จะแปลว่า ฟรี แบบที่เราเข้าใจนั่นแหละค่ะ เช่น Free sugar ก็ให้น้ำตาลฟรี, Free drink ก็เครื่องดื่มฟรี, Free download ดาวน์โหลดฟรี
กรณีที่สอง ถ้า Free ไปอยู่หลังคำนามไหนก็ตาม จะแปลว่า ปราศจาก, ไม่มี หรือ ห้าม เช่น Sugar freeปราศจากน้ำตาล, Fat free ไม่มีไขมัน
** เพราะฉะนั้นระวังไว้ว่าเวลาเห็นป้าย Smoke free / Tobacco Free แล้ว มันจะไม่ได้แปลว่าสูบบุหรี่ได้ตามสบาย หรือ บุหรี่แจกฟรี แต่แปลว่าห้ามสูบบุหรี่ ** ถ้าป้ายมีรูปอยู่ด้วยก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่มีแล้วเราเข้าใจผิดในต่างประเทศนี่ อาจจะแย่หน่อยนะคะ ตัวอย่างกรณีที่พบเห็นได้บ่อยและมักจะเข้าใจผิดกันบ่อยๆ 


นอกจากนี้ยังมีการใช้คำว่า free ในอีกหลายๆแบบ เช่น ถ้าเราใช้คำว่า feel free จะแปลว่าตามสบาย/ ไม่ต้องกังวล เช่น Please feel free to contact me if you have any questions.

set me free, free play, free time, freedom, hand free, free trade...

และยังมีอีกคำที่อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดได้ถ้าไม่ฟัง หรืออ่านดีๆ คือคำว่า Fee คำนี้แปลว่า ค่าธรรมเนียม เพราะฉะนั้นเวลาพูดควรพูดให้ถูก ( Free ออกเสียง r ด้วย) เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดนะคะ

Suffix ที่ลงท้ายแล้วหมายถึง คน

คำศัพท์ส่วนมากในภาษาอังกฤษจะมีหลักการสร้างคำง่ายๆคือ เติมข้างหน้า-เติมข้างหลัง แล้วจะได้คำใหม่ขึ้นมา แล้วจากที่เรารู้คำศัพท์สั้นๆเพียงหนึ่งคำ หากรู้หลักการแบบนี้แล้วอาจจะทำให้รู้เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 3 หรือ 4 คำ
ตัวอย่าง เช่น คำว่า act ที่แปลว่า แสดง หรือ ทำ จะมีคำที่เป็นพวกเดียวกับมันอีกหลายคำ เช่น react, reaction, actor, acting, action, actress, active, activity, inactive เป็นต้น

ประโยชน์ของการรู้หลักการเติมข้างหน้า-เติมข้างหลัง หรือ Prefix-Suffix นี้ จะช่วยเราได้ค่อนข้างมากทีเดียวเวลาเราเจอคำศัพท์ยาวๆ หรือคำที่คุ้นๆแล้วมักจะจำสลับกับคำอื่นๆ เพราะเราจะสามารถตัดคำที่เป็น Prefix(คำที่เติมด้านหน้า) และ Suffix (คำที่เติมด้านหลัง) แล้วจะรู้ Root (รากศัพท์) ว่าจริงๆแล้วที่มาของคำศัพท์คำนั้นคืออะไร หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าจะเดาไปในทิศทางไหน เช่นวันนึงไปเจอคำนี้ "concertgoers" อาจจะตกใจว่าไม่เคยเจอ จริงๆแล้วถ้าดูดีๆมันคือคำว่า concert + goers แปลว่า คนที่ไปร่วมงานคอนเสิร์ต .... เห็นมั๊ยคะว่าช่วยได้จริงๆ ^___^

พอรู้แบบนี้แล้วอยากให้ทุกคนลองเปลี่ยนจากการท่องคำศัพท์มาลองสังเกตุดูว่าคำศัพท์นั้นๆเป็นคำยาวๆที่เกิดจากคำสั้นๆ ง่ายๆ รึเปล่า เช่น  unicycle - bicycle - tricycle  ทั้งสามคำนี้มีรากศัพท์เดียวกัน คือ cycle ที่หมายถึงสิ่งที่เป็นวงกลม และเปลี่ยนแค่คำด้านหน้า ซึ่ง uni- แปลว่า 1, bi แปลว่า 2, tri แปลว่า 3 ดังนั้น unicycle คือจักรยานล้อเดียว - bicycle คือจักรยานสองล้อ และ tricycle คือจักรยานสามล้อ    หรือจากที่เราเคยท่องหรือเรียนมาว่า engineer แปลว่า วิศวกร ถ้าเราลองสังเกตดีๆจะเห็นว่ามันเกิดจากคำว่า engine เครื่องยนต์ + er ซึ่งเป็น suffix ที่มักจะหมายถึง"คน" ทำให้หมายถึงคนที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องยนต์ เครื่องจักรต่างๆ หรือ วิศวกรนั่นเอง

วันนี้เราจะมาดูว่ามี Suffix ไหนที่เติมไปท้ายคำต่างๆแล้วจะหมายถึง"คน" ได้บ้าง



1.-er เช่น   teach (สอน) - teacher (ผู้สอน), sing(ร้อง) - singer (นักร้อง), drive(ขับ) - driver(คนขับ)  *บางกรณีอาจจะแปลว่าเครื่อง/ ตัว เช่น cleaner(เครื่องทำความสะอาด) blender(เครื่องปั่น) heater (เครื่องทำความร้อน) เพราะฉะนั้น ดูสถานการณ์ดีๆนะคะ  เพราะบางคำแปลได้ 2 แบบ เช่น speaker แปลได้ว่า ผู้พูด กับ ลำโพง และขอเตือนว่าถึงคำที่ลงท้ายด้วย er (หรือ suffix ตัวอื่นๆ) ส่วนมากแปลว่า คน แต่ก็มีบางคำที่ไม่เข้าข่ายเช่น liver, dinner นะคะ
2. -or เช่น doctor  หมอ, mentor ผู้ให้คำปรึกษา, actor นักแสดงชาย, auditor ผู้สอบบัญชี, creator ผู้สร้าง, sponsor ผู้สนับสนุน, donor ผู้บริจาค
3. -ist เช่น  scientist, artist, specialist, finalist, florist, biologist, stylist, vocalist, guitarist, cyclist (ส่วนมากจะแปลว่า -นัก.../ ผู้เชี่ยวชาญ) ถ้าคำที่ไม่ได้มีรากศัพท์จะไม่นับรวมในกรณีนี้นะคะ เช่น list/ wrist/ twist 
4.-ian เช่น musician, magician, librarian, politician, Asian, civilian,electrician, technician คำที่น่าสนใจในกลุ่มนี้คือ vegetarian มาจาก vegetable ที่แปลว่าผัก กับ -ian ทำให้คำนี้แปลว่าคนที่กินผัก หรือ เปิดใน dictionary ก็จะแปลว่า มังสวิรัติ ซึ่งอาจจะฟังดูยากถ้าจะท่องจำ แต่ถ้าเราจำจากความเข้าใจคำศัพท์คำนี้จะกลายเป็นเรื่องง่ายไปทันที
5. -ant /-ent  2 ตัวนี้น่าสนใจนะคะ เพราะเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่า 4 ตัวที่ผ่านมา แต่สับสนได้ง่ายๆ เพราะถ้าเมื่อไหร่คำที่ลงท้ายแบบนี้เปลี่ยนไปเป็น -ence  จะกลายเป็นคำนามที่แปลว่าการ / ความ หรือแปลอย่างอื่นได้อีก 
เช่น คำว่า assist แปลว่าช่วย - assistant แปลว่าผู้ช่วย - assistance แปลว่า ความช่วยเหลือ 
resident แปลว่าผู้อยู่อาศัย - residence แปลว่าที่อยู่อาศัย 
participant (ผู้เข้าร่วม)   contestant ผู้เข้าประกวด   applicant ผู้สมัคร   tenant ผู้เช่า patient ผู้ป่วย
*นอกจากนี้ ยังมีบางคำที่ลงท้าย -ent แต่ไม่ได้แปลว่าคน แต่เป็น adj. แทน เช่น different แตกต่าง, permanent ถาวร, innocent ไร้เดียงสา     และถ้าเป็น ment ก็จะแปลว่าการ / ความ  หรือคำที่ไม่ได้มีรากศัพท์ก็จะแปลแบบนี้ไม่ได้เช่น scent
6. -ee (มักจะหมายถึงกลุ่มคน หรือผู้ที่ถูกกระทำ) เช่น committee คณะกรรมการ, refugee ผู้อพยพ, trainee พนักงานฝึกงาน, employee ลูกจ้าง, trustee ผู้ได้รับมอบหมาย, conferee ผู้เข้าร่วมประชุม, nominee ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง

นอกจากคำ suffix เหล่านี้ก็ยังมีอีกบางคำที่ลงท้ายด้วย Suffix อื่นๆแล้วแปลว่า คน ได้เช่นกัน : detective นักสืบ, representative ตัวแทน, criminal อาชญากร, fisherman ประมง, official เจ้าหน้าที่, personnel พนักงาน

* * * Physicist แปลว่า นักฟิสิกส์  แต่ Physician แปลว่า หมอนะคะ *  * *

หวังว่าทุกคนจะได้แนวคิดดีๆอะไรไปบ้างนะคะ ต่อจากนี้ถ้าเจอคำว่า comedian, socialist, economist, chemist น่าจะพอเดากันได้ทุกคนแล้วนะคะว่าแปลว่าอะไรบ้างงงง 

ขอบคุณค่ะ ^__^

A, An, The ใช้ยังไง

ถึงจะเรียนตั้งแต่เด็ก แต่ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่ดีว่า A, An, The ใช้ยังไง 

ยอมรับกันมั๊ยเอ่ยว่าบางทีที่ใช้ไป แค่เพราะรู้สึกว่าต้องมี ไม่มีแล้วแปลกๆ หรือบางทีก็ใส่ไปมั่วๆ ??   ...... มั่นใจว่าหลายๆคนก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน

ลองอ่านคำอธิบายดูนะคะ คิดว่าน่าจะพอช่วยได้!

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจะพูดถึงสิ่งที่เรากับคนฟัง เข้าใจตรงกันแน่ๆแบบไม่สับสนว่าเป็นอันอื่น ให้ใช้ the  และถ้าเมื่อไหร่ไม่เจาะจง แต่พูดถึงชิ้นนึง หรือขออันนึง ใช้ a / an (นำหน้าสระ a-e-i-o-u) และถ้าพูดถึงรวมๆไม่เจาะจงก็ไม่ต้องใช้ทั้ง a, an, the เลยค่ะ

*สาเหตุที่ใช้ the sun, the earth, the world เพราะมีแค่อย่างละ 1 ไม่สับสนแน่นอนว่าพระอาทิตย์ดวงไหน แต่เมื่อไหร่มีพระอาทิตย์ 2 ดวงขึ้นมาวิธีการใช้ก็จะต่างไป


ตัวอย่าง
สถานการณ์1 : ในตู้เย็นมีแอปเปิ้ล 3 ลูก แดง 1 ลูกและเขียว 2 ลูก



1. ถ้าจะบอกแฟนว่าฉันกินแอปเปิ้ลสีแดงไปแล้วนะ   กรณีนี้ มีแอปเปิ้ลเขียวแค่ 1 ลูก ดังนั้นไม่เข้าใจสลับกับลูกอื่นแน่ๆ พูดว่า : I ate the green apple.
2. ถ้าจะบอกแฟนว่าขอกินแอปเปิ้ลลูกนึงนะ แบบนี้ไม่ได้เจาะจงว่าต้องกินลูกที่อยู่ตรงกลางเท่านั้น 
พูดว่า : Can I eat an apple?
3. ฉันซื้อแอปเปิ้ลมา ไม่ได้เจาะจงและไม่บอกด้วยว่า 1 ลูก ดังนั้นไม่ต้องใช้ article ใดๆเลย : I bought apples.

สถานการณ์2 : มีกระดาษวางอยู่ตั้งนึง 
ขอกระดาษแผ่นนึง : Can I have a paper, please?

สถานการณ์3 : ลุงซื้อหมา มา2ตัว 
My uncle bought 2 dogs, a white puddle and a brown Chihuahua.
The white is Robert and The brown is Jenny.

ตอนแรกลุงซื้อหมา มา2ตัว ตัวนึงเป็นพุดเดิ้ลสีขาว ตัวนึงเป็นชิวาว่าสีน้ำตาล  (ประโยคนี้ใช้ a เพราะบอกว่า 1 ตัว) ตัวสีขาวคือโรเบิร์ต และตัวสีน้ำตาลคือ เจนนี่ (ประโยคนี้ใช้ the เพราะได้อธิบายไปแล้วว่ามีตัวไหน สีอะไรบ้าง เข้าใจตรงกันแล้ว ไม่สับสนแล้วว่า ตัวไหนสีไหนชื่ออะไร)

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำไมบางทีภาษาอังกฤษก็แปลหลังไปหน้า บางทีก็แปลหน้าไปหลัง

แปลหลังไปหน้า หรือ หน้าไปหลัง กันแน่??

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีข้อสงสัย เนื่องจากเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆว่าภาษาอังกฤษให้แปลหลังไปหน้า แต่ทำไม แปลไปแปลมาเดี๋ยวกลับมาแปลหน้าไปหลังอีกแล้ว คำตอบอยู่ที่นี่แล้วค่ะ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าเป็นกลุ่มคำเดียวกันจะแปลหลังไปหน้า เช่น ปากกาแดง (red pen), ต้นมะพร้าว (coconut tree), ผู้หญิงสวย ( beautiful girl ) แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นคำคนละประเภทกันก็จะแปลปกติเหมือนภาษาไทย เช่น ฉัน(ประธาน/คำนาม) ชอบ(กริยา) หมา(กรรม/คำนาม)  แปลตรงๆที่ละตัว I like dogs. หนังสือเล่มนั้น บน โต๊ : that book on the table.

เพราะฉะนั้นถ้าเราจะแปลไทยเป็นอังกฤษ ไม่ควรแปลตรงๆเพราะ

1. ภาษาอังกฤษกับภาษาไทย ลำดับคำไม่เหมือนกัน
2. ภาษาไทยแปลเป็นคำๆ แต่ภาษาอังกฤษแปลเป็นกลุ่มคำ
3. ภาษาไทยถ้าเน้นพูดถึงเวลาต่างๆจะเน้นแค่คำบอกเวลา (adverb) นอกนั้นในประโยคเหมือนเดิม แต่ภาษาอังกฤษจะมีการเปลี่ยน Tense เช่น เมื่อวานกินพิซซ่า เย็นนี้กินพิซซ่า กินพิซซ่าทุกวัน  เราก็ยังคงใช้คำว่า กินเหมือนเดิม  แต่ภาษาอังกฤษ Everyday,I eat pizza.  Yesterday, I ate pizza. 
4. คำบางคำไม่สามารถหาคำแปลได้ เพราะไม่ปรากฏในประโยค เช่น คนไทยจะบอกว่า เขาเศร้า ถ้าแปลตรงๆก็ He sad แต่ที่ถูกต้องจริงๆต้องเป็น  He is sad ซึ่ง is ไม่มีความหมายเมื่อแปลเป็นภาษาไทย

วิธีแก้ เล็กๆน้อยๆเวลาจะสื่อสารภาษาอังกฤษ

1. ถ้าจะพูดถึงอะไรให้เอาคำนั้นไปไว้ท้ายสุด แล้วพูดพวกคำขยายหรือบอกลักษณะก่อน เช่นถ้าจะสั่ง พิซซ่า ให้บอกก่อนว่าอยากกินพิซซ่าที่มีลักษณะอย่างไร แล้วค่อยๆเจาะจงให้แคบลงมาเรื่อยๆจนถึงคำนาม เช่น big Hawaiian pizza : พิซซ่าฮาวานเอี้ยนถาดใหญ่, 2 Black cats, White Toyota Yaris Car.  เห็นไหมคะว่าพูดถึงจำนวน /ลักษณะที่เห็นชัดๆก่อน ถ้ายิ่งเจาะจงยิ่งอยู่หลังๆ 

2. พยายามนึกภาพรวมๆ แล้วนึกคำพูด อย่าพูดไป นึกไป เช่น 
     Ex.1 เขาเดินไปโรงเรียน หลายคนพูดว่า He walks go school. เพราะแปลตรงๆ แต่จริงๆแค่คำว่า walk หรือ คำว่า go ก็ชัดเจนแล้วว่าไป ก็แค่พูดว่า He walks to school หรือ He goes to school. 

     Ex. 2 เขาทำอาหารเย็น  ไม่ต้องพูดว่า He makes food เพราะคำว่าทำอาหารแปลเป็นกลุ่มคำได้เป็นคำว่า cook เลย ดังนั้นประโยคที่ถูกต้องคือ He cooks dinner.
เช่นเดียวกับคำว่า ทำพัง  ใช้คำว่า break / broke เลย และส่วนมาจะใช้ broke เพราะทำพังไปแล้ว เช่น เขาทำโทรศัพท์ฉันพัง He broke my phone. ถ้าเรารู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะใช้ กริยาช่อง 2 เพราะผ่านไปแล้ว ทุกครั้งที่พูดว่าใครทำอะไรซักอย่างพังก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่อง Tense อีกต่อไป

3. เมื่อไหร่ใช้ is เมื่อไหร่ไม่ใช้ ? นอกจากจะใช้เมื่อแปลว่าเป็น อยู่ คือ แล้ว ถ้าเราจะพูดถึงลักษณะคนหรือของบางอย่าง หรือพูดอธิบายอารมณ์ ความรู้สึก ต้องใช้ V.to be (is-am-are) ด้วย คิดง่ายๆว่าถ้าเราบอกว่าเขาเศร้า เขารวย เขาหิว คนมองอาจจะไม่รู้ว่าคนไหน แต่ถ้าพูดถึงกริยาอยู่แล้ว เช่น เดิน นอน กระโดด เต้น จะสามารถเห็นได้เลยว่าคนไหนกระโดด
He is hungry, He is rich, I am here   : He runs, He jumps, He plays

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

If Clause ใช้ยังไง

If  แปลว่า ถ้า ดังนั้นเวลาพูดจะประกอบด้วย 2 ประโยค คือ ถ้า.....1..... , ....2.......... เช่น ถ้าฝนตก(1) ฉันจะวิ่ง (2) จุดเด่นก็คือ ประโยค 1 จะมีคำว่า if (ถ้า) และ ประโยค 2 มักจะมีคำว่า will/ would (จะ) ในภาษาอังกฤษจะสามารถสลับที่ประโยคได้ เช่น ถ้าฝนตกฉันจะวิ่ง  หรือ ฉันจะวิ่งถ้าฝนตก  ดังนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะจำว่า if จะอยู่ข้างหน้า will อยู่ข้างหลัง 

ตอนนี้มาถึงเทคนิคของเรานะคะ สูตรที่จะใช้จำสำหรับเรื่องนี้คือ If (เบิ้ล อนาคต)
คำอธิบาย     ถ้าต้องทำโจทย์เรื่อง If Clause สังเกตง่ายๆว่าในโจทย์หรือในตัวเลือกมักจะมีคำว่า if หรือคำใดคำหนึ่งต่อไปนี้ซึ่งมีความหมายคล้ายคำว่า if เหมือนกัน (in case, on condition that, providing (that), supposing (that), as long as, so long as, unless (if not)) เราควร โฟกัสที่คำกริยาของประโยคทั้ง 2 ส่วน (ถ้าใครแปลไม่ค่อยได้ กริยาจะอยู่หลังประธานนะคะ เช่น If he comes
      ตอนนี้มาถึงเรื่องที่ซับซ้อนของการพูด ถ้า ในภาษาอังกฤษ นะคะ ในภาษาไทยถ้าเราจะพูดว่า"ถ้า" ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือยังไม่ถึง ก็จะพูดเหมือนๆกัน แต่ในภาษาอังกฤษจะพูดแตกต่างกัน คราวนี้มาดูกันนะคะว่าทำไม If (เบิ้ล อนาคต)

เวลาเจอโจทย์ แทบจะไม่ต้องแปล - เจอไม่เยอะเท่าไหร่ในข้อสอบ แต่ถ้าเจอต้องกินคะแนนเรียบ!!นะคะ  เจอเรื่องนี้ปุ๊ป... ใจเย็นๆ แล้วให้สนใจแค่ที่ Verb ของประโยคทั้ง 2 ส่วน   if..1.. , ..2.. // ..2..if..1..
ถ้า    1.  if    V1(s/es)  (ปัจจุบัน),will (อนาคตของปัจจุบัน) + V   เช่น If it rains, I will run.
      2. if    V2(อดีต),would (อนาคตในอดีต) + V    เช่น If I had more cars, I would give it to you.
      3. if    had V3 (อดีตกว่า),would + have + V3    -If he had driven more carefully, he wouldn't have had an accident.

เวลานำไปใช้
If Clause มีทั้งหมด 4 ชนิด
ชนิดที่ 0 - ใช้พูดเรื่องที่เป็นความจริง กฎทางธรรมชาติ - ใช้ V1 ตลอด
ชนิดที่ 1 - ใช้พูดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หรือยังไม่ถึง
ชนิดที่ 2 - ใช้ในการสมมติ หรือเป็นไปไม่ได้ เช่น If we had 2 suns, If he had 5 arms, If today were yesterday... 
ชนิดที่ 3 - ใช้พูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับไปแก้ไม่ได้แล้ว เช่น ถ้าเมื่อคืนฉันนอนเร็ว If I had slept earlier last night...

***แต่แน่นอนว่าในแกรมม่าภาษาอังกฤษเกือบทุกเรื่องจะมี ข้อยกเว้น ข้อควรระวังในเรื่องนี้ ได้แก่ 

1. ถ้าเป็นเรื่องจริง กฎทางธรรมชาติ หรือ คำสั่ง ใช้ V1 ในประโยคทั้ง 2 ส่วน  เช่น If it reaches 100 C, water boils.
2. If  V2  ถ้าเป็น V. to be ต้องใช้ were กับทุกประธาน และจะหมายความว่า สมมติว่าเป็น...  เลยทันที เช่น If I were a bird, I would fly around the world. (ปกติ I was)
3. ถ้า  had แปลว่า มี หรือไม่ได้ตามด้วย V3 จะถือเป็นแบบที่ 2 หรือต้อง ใช้ would นั่นเอง *ระวังเพราะหลายคนเจอ had แล้วจะรีบตอบเป็นชนิดที่ 3 เลย
         เช่น      If I had seen him, I would have talked to him.
                     If I had more hands, I would  help you.

*4. แบบผสม Tense  เช่นถ้าตอนนั้นฉันบอกรักเขา (แก้ไขไม่ได้แล้ว - ชนิดที่ 3), ฉันคงมีความสุขแล้วตอนนี้ (เรื่องจริงคือ ตอนนี้ไม่มีความสุข-ชนิดที่ 2) : If I had told him I love him then, I would be happy now. 
5. มีการเขียน if clause ในแบบ inversion ดังนี้ 
    ชนิดที่ 1 - Should ............,.....will.........
    ชนิดที่ 2 - Were ....to........,.....would........
    ชนิดที่ 3 - Had ............,.....would have V3.........

If clause exercise 1
    1.  I will help you if you (help)______ yourself first.
    2.  If we had two suns, The earth (be) ______ hotter. 
    3.  If I hurried, I (catch)________ the train.
    4.  If today (be)______ Monday, I would go to work. 
    5.  If he (tell)_______ me, I would have picked him up.
                                                                                             (เฉลย 1. help 2. were 3. would catch 4. were 5. had told)  
                  
     If clause exercise 2
 1. If Samantha had known that the class had been cancelled, she would not  (drive/have driven/ have drove/be driving ) to school on that day.
         
2.   _____________________, they would lose the election.
              a. If the government raise interest rates        
              b. Were the government to raise interest rates
              c. Should the government to raise interest rates        
              d. If the government was to raise interest rates

3. If our planet had no moon, the night sky (may have been/might have been / would be /Will be) much darker.


                      (เฉลย 1.have driven    2.b Were the government to raise interest rates  3.would be)


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำพ้องรูปในภาษาอังกฤษมีไหม ???? - HOMOGRAPH -

Homograph (คำพ้องรูป) คือ  คำ 1 คำที่มีความหมายได้หลายอย่าง
เช่น
can แปลว่า สามารถ กับ กระป๋อง แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ต้องแปลว่าอะไร ก็ต้องดูจากตำแหน่งว่าใช้เป็นคำนาม หรือกริยา และดูจากสถานการณ์

คำในภาษาอังกฤษหลายคำ อาจจะมีความหมายมากกว่าที่เราเคยรู้ ไปลองดูกันนะคะว่ามีคำว่าอะไรบ้าง

1.  " Where there's a will, there's a way " will ในสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า จะ แต่แปลว่า ความตั้งใจ : เมื่อมีความตั้งใจ ก็จะมีหนทางเสมอ

    A. will (aux.) เป็นกริยาช่วย แปลว่า จะ เช่น I will go to Bangkok.      (ฉันจะไปกรุงเทพ)   
    B. will (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ความตั้งใจ เช่น Tom made his last will alone.     (ทอมทำพินัยกรรมของเขาเอง) ในที่นี้ last will คือความตั้งใจสุดท้าย หรือ พินัยกรรมนั่นเอง
    C. will (v.) เป็นกริยา แปลว่า เต็มใจ ตั้งใจ เช่น I am willing to help you.    (ฉันเต็มใจจะช่วยคุณ)




2. Fine 
ที่เรารู้จักกันดีคือ I'm fine,thank you. เป็น adj. ที่แปลว่าสบายดี  แต่ fine ในป้ายนี้ไม่ได้แปลว่าสบายดี คำว่า fine สามารถเป็นไได้ทั้งคำนาม และ กริยา โดยจะแปลว่า  ค่าปรับ (n.)  ปรับเป็นเงิน (v.)

3. Patient 
    A. patient  (n.) เป็นคำนาม แปลว่า คนไข้ / ผู้ป่วย เช่น Critically ill patients should be monitored closely.   (ผู้ป่วยวิกฤติควรได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด)   
    B. patient (adj.) เป็นคำคุณศัพท์ หรือ คำขยาย แปลว่า อดทน (ตำแหน่งจะอยู่ หน้าคำนาม หรือ หลัง V.to be) เช่น He is a patient person. (เขาเป็นคนอดทน)  , Kindergarten teachers are patient.   (ครูอนุบาลเป็นคนอดทน)

4. Sentence 
     A. sentence (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ประโยค เช่น Complete the sentences with a verb from the box. (เติมคำกริยาที่ให้ลงในประโยคให้สมบูรณ์)
     B. sentence (v.) เป็นคำกริยา แปลว่า ตัดสินโทษ เช่น He will be sentenced to death. (เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต)

5. Desert
     A. desert (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ทะเลทราย เช่น That desert looks like the surface of the sun. (ทะเลทรายนั้นดูเหมือนพื้นผิวของพระอาทิตย์)
     B. desert (v.) เป็นคำกริยา แปลว่า เช่น He deserted his family and went abroad. (เขาทิ้งครอบครัวแล้วไปต่างประเทศ)
     C. deserted (adj.) เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า  รกร้าง ถูกทอดทิ้ง เช่น The house was deserted. ( บ้านถูกทิ้งให้รกร้าง ), The deserted building at the corner will become a new museum next year. (ตึกร้างตรงมุมนั้นจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ใหม่ในปีหน้า)

6. Mean มีหลายความหมาย เช่น You are so mean. ประโยคนี้ mean เป็น adjective แปลว่า ใจร้าย (เธอใจร้ายจัง) หรือถ้าในประโยค "I'm available" can mean "I'm single" when someone asks about your relationship.  ("I'm available" สามารถแปลว่า ฉันโสด ได้ เมื่อมีคนถามเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ของคุณ) ในประโยคนี้ mean ทำหน้าที่เป็น กริยา แปลว่า หมายความว่า, แปลว่า, หมายถึง ความหมายนี้น่าจะใช้บ่อยที่สุด เช่น what do you mean ?? , i mean...    
ความหมายต่อไป ถ้าประโยคว่า Sorry, I didn't mean to. แปลว่า ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้นถ้าใช้ในการคำนวณทางสถิติ mean ยังจะะสามารถแปลว่า ค่าเฉลี่ย ได้อีกด้วย

สำนวนที่น่าสนใจ คือ "By all means" มักใช้ในการตอบ แปลว่า แน่นอน เช่นมีคนถามว่า May I go with you ? ถ้าตอบว่า By all means แปลว่า แน่นอน แต่ถ้า By no means แปลว่า ไม่มีทาง ,ไม่เลย เช่น I’m by no means angry with you. ฉันไม่ได้โกรธอะไรเธอเลย

เพราะฉะนั้น เราควรรู้ไว้ว่า คำ 1 คำ ไม่ได้มีเพียง 1 ความหมาย ดังนั้นเวลาใช้ในประโยค หรือแปล  ควรดูดีๆว่าคำนั้นใช้ในตำแหน่งไหนและดูจากสถานการณ์แล้วถึงแปลให้เหมาะสมนะคะ


---------------- นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำ เช่น address, letter, wind, leave  etc. ซึ่งจะมาเขียนอธิบายต่อในครั้งต่อๆไป----------------

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สีแต่ละสี มีความหมายยังไงในสำนวนภาษาอังกฤษ


วนเวียนอยู่ที่เก่า….วนเวียนที่ “สีเทา”.....เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมต้องสีเทา....มันมีที่มาที่ไปตรงที่ ในภาษาอังกฤษ มีสำนวนที่เกี่ยวกับสี หลายสี รวมทั้งสีเทาด้วย grey area หรือพื้นที่สีเทา หมายถึงบริเวณที่ไม่ชัดเจนว่า ขาว หรือ ดำ เพราะฉะนั้นเลยมีการเปรียบเทียบหลายๆสถานการณ์เหมือนเราอยู่ ใน grey area นอกจากนั้นก็ยังมีสำนวน shades of grey (ความเทาหลายๆระดับ             ) ซึ่งหมายถึงความสับสนระหว่างผิดกับถูก แบบแยกไม่ออก เช่น Many children's stories say the world is full of black and white choices. In reality there are many shades of grey. ประโยคนี้ก็หมายถึง ในนิทานของเด็กมักจะพูดถึงเรื่องราวที่มีแต่ด้าน ดีกับด้านชั่วร้ายไปเลยแต่ในชีวิตจริงนั้นมันมีทั้งดีและร้ายปะปนกันหลายๆแบบ ดังนั้นการใช้สำนวน black and white คือการตัดสินแบบชัดเจน หรือเป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่า ถูก หรือ ผิด


ความหมายของการเปรียบเทียบสีอื่นๆในสำนวนภาษาอังกฤษ ได้แก่

1. Blue - feeling blue. เราอาจจะคิดว่าสีน้ำเงินหมายถึงความเย็น ความสดใส แต่จริงๆแล้วหมายถึงเศร้า

2. Green -feeling green with envy แบบนี้แปลว่า อิจฉา - แต่ก็มีการใช้สีเขียวในแง่บวก หรือพูดถึงธรรมชาติ และอีกลักษณะที่ใช้คือ “greenies” พูดถึงเด็กใหม่ น้องใหม่ที่เปรียบเหมือนใบไม้ หรือผลไม้ที่ยังเขียวอยู่

3. Yellow - tie a Yellow Ribbon ริบบิ้นสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง และการจดจำ แต่หลายครั้งใช้สีเหลืองเพื่อให้ความหมายแง่ลบ เช่น Yellow Journalism (การรายงานข่าวอย่างไม่มีจรรยาบรรณ) ส่วนYellow Bellied และ Yellow Streak หมายถึงความขี้ขลาด (มาจากสีของไก่ เพราะฝรั่งถ้าว่าเค้าว่า หมา หรือ ควาย เค้าอาจจะไม่โกรธ แต่ถ้าด่าว่าเป็น ไก่ “chicken” เค้าน่าจะไม่พอใจมากกว่าเพราะมันหมายถึงคนขี้ขลาด เพราะไก่จะตกใจกลัวง่ายๆ)

4. Pink – be in the pink ส่วนมากหมายถึงการมีสุขภาพดีมากๆ หรือ อารมณ์ดีมากๆ

5. Red –คืออารมณ์โกรธคล้ายๆกับคนไทย

การเปรียบเทียบที่เหมือนและต่างกันของภาษาไทย กับภาษาอังกฤษ

หลายๆครั้งการเปรียบเทียบในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ไม่สามารถเปรียบเทียบในแบบเดียวกันได้เช่นที่คนไทยบอกว่า ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ภาษาอังกฤษกลับเปรียบเทียบไปในหลายๆแบบ เช่น As easy as pie ซึ่งจะหมายถึง ง่ายเหมือนกินพาย หรืออีกคำที่เป็นที่นิยม คือ Piece of cake และ Walk in the park หมายถึง ง่ายเหมือนกินเค้ก หรือ เหมือนการเดินเล่น และยังมีคำว่า Cakewalk ซึ่งหมายถึงเรื่องที่ ง่ายมากๆ เหมือนกัน เช่นWinning the game was a cakewalk for him.
การที่มีการพูดว่า โง่เหมือนควาย แน่นอนว่าฝรั่งจะไม่เข้าใจเพราะไม่เห็นว่าควายจะโง่ตรงไหน แต่เขาเปรียบเทียบว่า โง่เหมือนล่อ เหมือนห่าน หรือ เหมือนสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิตอย่างขอนไม้ หรือ เสาแทน เช่น as silly as a mule / a goose , as stupid as a log/ a post


แต่ก็ไม่ใช่ว่าการเปรียบเทียบในภาษาไทยกับอังกฤษจะต่างกันเสมอไป ยังไงก็ยังมีการเปรียบเทียบจำนวนไม่น้อยที่คนไทยและฝรั่งใช้และเข้าใจตรงกัน ไปดูตัวอย่างการเปรียบเทียบต่างๆในภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ทำให้การเขียนดูน่าสนใจมากขึ้น หรือ ไว้ไปพูดกับเพื่อนๆชาวต่างชาตินะคะ






แบบที่เหมือน หรือใกล้เคียงกับภาษาไทย

1. ขาวเหมือนผี as white as a ghost / sheet (กระดาษ) / snow (หิมะ)

2. ตาดีเหมือนเหยี่ยว have eyes like a hawk / Hawkeye

3. เสียงใสเหมือนระฆัง as clear as bell

4. อิสระเหมือนนก as free as a bird

5. ลื่นเหมือนปลาไหล(คน) as slippery as an eel

6. ดำเหมือนถ่าน as black as coal

7. เร็วในพริบตา as quick as a wink

แต่ที่น่าสนใจจริงๆน่าจะเป็นพวกที่ไม่เหมือนกันมากกว่า ลองมาดูกันนะคะว่าฝรั่งเค้าเปรียบเทียบ หรือมองสิ่งต่างๆ เหมือนหรือต่างจากเราแค่ไหน

1. แห้งเหมือน........ as dry as a bone / bone-dry (แห้งเหมือนกระดูก)

2. ยุ่งเหมือน........ as busy as a bee (ยุ่งเหมือนผึ้ง)

3. แข็งแรงเหมือน..... as strong as an ox (แข็งแรงเหมือนวัว)

4. กินเก่งเหมือน.... eat like a horse (กินเก่งเหมือนม้า)

5. เงียบเหมือน .... as quiet as a mouse (เงียบเหมือนหนู)

6. หิวเหมือน.... as hungry as a wolf (หิวเหมือนหมาป่า)

7. หลับนิ่งเหมือน... sleep like a log (หลับนิ่งเหมือนขอนไม้)
8. ตาบอดเหมือน...(มองไม่เห็น) as blind as a bat              (มองไม่เห็นอะไรเหมือนเป็นค้างคาว)