วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

If Clause ใช้ยังไง

If  แปลว่า ถ้า ดังนั้นเวลาพูดจะประกอบด้วย 2 ประโยค คือ ถ้า.....1..... , ....2.......... เช่น ถ้าฝนตก(1) ฉันจะวิ่ง (2) จุดเด่นก็คือ ประโยค 1 จะมีคำว่า if (ถ้า) และ ประโยค 2 มักจะมีคำว่า will/ would (จะ) ในภาษาอังกฤษจะสามารถสลับที่ประโยคได้ เช่น ถ้าฝนตกฉันจะวิ่ง  หรือ ฉันจะวิ่งถ้าฝนตก  ดังนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะจำว่า if จะอยู่ข้างหน้า will อยู่ข้างหลัง 

ตอนนี้มาถึงเทคนิคของเรานะคะ สูตรที่จะใช้จำสำหรับเรื่องนี้คือ If (เบิ้ล อนาคต)
คำอธิบาย     ถ้าต้องทำโจทย์เรื่อง If Clause สังเกตง่ายๆว่าในโจทย์หรือในตัวเลือกมักจะมีคำว่า if หรือคำใดคำหนึ่งต่อไปนี้ซึ่งมีความหมายคล้ายคำว่า if เหมือนกัน (in case, on condition that, providing (that), supposing (that), as long as, so long as, unless (if not)) เราควร โฟกัสที่คำกริยาของประโยคทั้ง 2 ส่วน (ถ้าใครแปลไม่ค่อยได้ กริยาจะอยู่หลังประธานนะคะ เช่น If he comes
      ตอนนี้มาถึงเรื่องที่ซับซ้อนของการพูด ถ้า ในภาษาอังกฤษ นะคะ ในภาษาไทยถ้าเราจะพูดว่า"ถ้า" ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือยังไม่ถึง ก็จะพูดเหมือนๆกัน แต่ในภาษาอังกฤษจะพูดแตกต่างกัน คราวนี้มาดูกันนะคะว่าทำไม If (เบิ้ล อนาคต)

เวลาเจอโจทย์ แทบจะไม่ต้องแปล - เจอไม่เยอะเท่าไหร่ในข้อสอบ แต่ถ้าเจอต้องกินคะแนนเรียบ!!นะคะ  เจอเรื่องนี้ปุ๊ป... ใจเย็นๆ แล้วให้สนใจแค่ที่ Verb ของประโยคทั้ง 2 ส่วน   if..1.. , ..2.. // ..2..if..1..
ถ้า    1.  if    V1(s/es)  (ปัจจุบัน),will (อนาคตของปัจจุบัน) + V   เช่น If it rains, I will run.
      2. if    V2(อดีต),would (อนาคตในอดีต) + V    เช่น If I had more cars, I would give it to you.
      3. if    had V3 (อดีตกว่า),would + have + V3    -If he had driven more carefully, he wouldn't have had an accident.

เวลานำไปใช้
If Clause มีทั้งหมด 4 ชนิด
ชนิดที่ 0 - ใช้พูดเรื่องที่เป็นความจริง กฎทางธรรมชาติ - ใช้ V1 ตลอด
ชนิดที่ 1 - ใช้พูดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หรือยังไม่ถึง
ชนิดที่ 2 - ใช้ในการสมมติ หรือเป็นไปไม่ได้ เช่น If we had 2 suns, If he had 5 arms, If today were yesterday... 
ชนิดที่ 3 - ใช้พูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วกลับไปแก้ไม่ได้แล้ว เช่น ถ้าเมื่อคืนฉันนอนเร็ว If I had slept earlier last night...

***แต่แน่นอนว่าในแกรมม่าภาษาอังกฤษเกือบทุกเรื่องจะมี ข้อยกเว้น ข้อควรระวังในเรื่องนี้ ได้แก่ 

1. ถ้าเป็นเรื่องจริง กฎทางธรรมชาติ หรือ คำสั่ง ใช้ V1 ในประโยคทั้ง 2 ส่วน  เช่น If it reaches 100 C, water boils.
2. If  V2  ถ้าเป็น V. to be ต้องใช้ were กับทุกประธาน และจะหมายความว่า สมมติว่าเป็น...  เลยทันที เช่น If I were a bird, I would fly around the world. (ปกติ I was)
3. ถ้า  had แปลว่า มี หรือไม่ได้ตามด้วย V3 จะถือเป็นแบบที่ 2 หรือต้อง ใช้ would นั่นเอง *ระวังเพราะหลายคนเจอ had แล้วจะรีบตอบเป็นชนิดที่ 3 เลย
         เช่น      If I had seen him, I would have talked to him.
                     If I had more hands, I would  help you.

*4. แบบผสม Tense  เช่นถ้าตอนนั้นฉันบอกรักเขา (แก้ไขไม่ได้แล้ว - ชนิดที่ 3), ฉันคงมีความสุขแล้วตอนนี้ (เรื่องจริงคือ ตอนนี้ไม่มีความสุข-ชนิดที่ 2) : If I had told him I love him then, I would be happy now. 
5. มีการเขียน if clause ในแบบ inversion ดังนี้ 
    ชนิดที่ 1 - Should ............,.....will.........
    ชนิดที่ 2 - Were ....to........,.....would........
    ชนิดที่ 3 - Had ............,.....would have V3.........

If clause exercise 1
    1.  I will help you if you (help)______ yourself first.
    2.  If we had two suns, The earth (be) ______ hotter. 
    3.  If I hurried, I (catch)________ the train.
    4.  If today (be)______ Monday, I would go to work. 
    5.  If he (tell)_______ me, I would have picked him up.
                                                                                             (เฉลย 1. help 2. were 3. would catch 4. were 5. had told)  
                  
     If clause exercise 2
 1. If Samantha had known that the class had been cancelled, she would not  (drive/have driven/ have drove/be driving ) to school on that day.
         
2.   _____________________, they would lose the election.
              a. If the government raise interest rates        
              b. Were the government to raise interest rates
              c. Should the government to raise interest rates        
              d. If the government was to raise interest rates

3. If our planet had no moon, the night sky (may have been/might have been / would be /Will be) much darker.


                      (เฉลย 1.have driven    2.b Were the government to raise interest rates  3.would be)


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คำพ้องรูปในภาษาอังกฤษมีไหม ???? - HOMOGRAPH -

Homograph (คำพ้องรูป) คือ  คำ 1 คำที่มีความหมายได้หลายอย่าง
เช่น
can แปลว่า สามารถ กับ กระป๋อง แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ต้องแปลว่าอะไร ก็ต้องดูจากตำแหน่งว่าใช้เป็นคำนาม หรือกริยา และดูจากสถานการณ์

คำในภาษาอังกฤษหลายคำ อาจจะมีความหมายมากกว่าที่เราเคยรู้ ไปลองดูกันนะคะว่ามีคำว่าอะไรบ้าง

1.  " Where there's a will, there's a way " will ในสำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า จะ แต่แปลว่า ความตั้งใจ : เมื่อมีความตั้งใจ ก็จะมีหนทางเสมอ

    A. will (aux.) เป็นกริยาช่วย แปลว่า จะ เช่น I will go to Bangkok.      (ฉันจะไปกรุงเทพ)   
    B. will (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ความตั้งใจ เช่น Tom made his last will alone.     (ทอมทำพินัยกรรมของเขาเอง) ในที่นี้ last will คือความตั้งใจสุดท้าย หรือ พินัยกรรมนั่นเอง
    C. will (v.) เป็นกริยา แปลว่า เต็มใจ ตั้งใจ เช่น I am willing to help you.    (ฉันเต็มใจจะช่วยคุณ)




2. Fine 
ที่เรารู้จักกันดีคือ I'm fine,thank you. เป็น adj. ที่แปลว่าสบายดี  แต่ fine ในป้ายนี้ไม่ได้แปลว่าสบายดี คำว่า fine สามารถเป็นไได้ทั้งคำนาม และ กริยา โดยจะแปลว่า  ค่าปรับ (n.)  ปรับเป็นเงิน (v.)

3. Patient 
    A. patient  (n.) เป็นคำนาม แปลว่า คนไข้ / ผู้ป่วย เช่น Critically ill patients should be monitored closely.   (ผู้ป่วยวิกฤติควรได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด)   
    B. patient (adj.) เป็นคำคุณศัพท์ หรือ คำขยาย แปลว่า อดทน (ตำแหน่งจะอยู่ หน้าคำนาม หรือ หลัง V.to be) เช่น He is a patient person. (เขาเป็นคนอดทน)  , Kindergarten teachers are patient.   (ครูอนุบาลเป็นคนอดทน)

4. Sentence 
     A. sentence (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ประโยค เช่น Complete the sentences with a verb from the box. (เติมคำกริยาที่ให้ลงในประโยคให้สมบูรณ์)
     B. sentence (v.) เป็นคำกริยา แปลว่า ตัดสินโทษ เช่น He will be sentenced to death. (เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต)

5. Desert
     A. desert (n.) เป็นคำนาม แปลว่า ทะเลทราย เช่น That desert looks like the surface of the sun. (ทะเลทรายนั้นดูเหมือนพื้นผิวของพระอาทิตย์)
     B. desert (v.) เป็นคำกริยา แปลว่า เช่น He deserted his family and went abroad. (เขาทิ้งครอบครัวแล้วไปต่างประเทศ)
     C. deserted (adj.) เป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า  รกร้าง ถูกทอดทิ้ง เช่น The house was deserted. ( บ้านถูกทิ้งให้รกร้าง ), The deserted building at the corner will become a new museum next year. (ตึกร้างตรงมุมนั้นจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ใหม่ในปีหน้า)

6. Mean มีหลายความหมาย เช่น You are so mean. ประโยคนี้ mean เป็น adjective แปลว่า ใจร้าย (เธอใจร้ายจัง) หรือถ้าในประโยค "I'm available" can mean "I'm single" when someone asks about your relationship.  ("I'm available" สามารถแปลว่า ฉันโสด ได้ เมื่อมีคนถามเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ของคุณ) ในประโยคนี้ mean ทำหน้าที่เป็น กริยา แปลว่า หมายความว่า, แปลว่า, หมายถึง ความหมายนี้น่าจะใช้บ่อยที่สุด เช่น what do you mean ?? , i mean...    
ความหมายต่อไป ถ้าประโยคว่า Sorry, I didn't mean to. แปลว่า ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้นถ้าใช้ในการคำนวณทางสถิติ mean ยังจะะสามารถแปลว่า ค่าเฉลี่ย ได้อีกด้วย

สำนวนที่น่าสนใจ คือ "By all means" มักใช้ในการตอบ แปลว่า แน่นอน เช่นมีคนถามว่า May I go with you ? ถ้าตอบว่า By all means แปลว่า แน่นอน แต่ถ้า By no means แปลว่า ไม่มีทาง ,ไม่เลย เช่น I’m by no means angry with you. ฉันไม่ได้โกรธอะไรเธอเลย

เพราะฉะนั้น เราควรรู้ไว้ว่า คำ 1 คำ ไม่ได้มีเพียง 1 ความหมาย ดังนั้นเวลาใช้ในประโยค หรือแปล  ควรดูดีๆว่าคำนั้นใช้ในตำแหน่งไหนและดูจากสถานการณ์แล้วถึงแปลให้เหมาะสมนะคะ


---------------- นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำ เช่น address, letter, wind, leave  etc. ซึ่งจะมาเขียนอธิบายต่อในครั้งต่อๆไป----------------

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สีแต่ละสี มีความหมายยังไงในสำนวนภาษาอังกฤษ


วนเวียนอยู่ที่เก่า….วนเวียนที่ “สีเทา”.....เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมต้องสีเทา....มันมีที่มาที่ไปตรงที่ ในภาษาอังกฤษ มีสำนวนที่เกี่ยวกับสี หลายสี รวมทั้งสีเทาด้วย grey area หรือพื้นที่สีเทา หมายถึงบริเวณที่ไม่ชัดเจนว่า ขาว หรือ ดำ เพราะฉะนั้นเลยมีการเปรียบเทียบหลายๆสถานการณ์เหมือนเราอยู่ ใน grey area นอกจากนั้นก็ยังมีสำนวน shades of grey (ความเทาหลายๆระดับ             ) ซึ่งหมายถึงความสับสนระหว่างผิดกับถูก แบบแยกไม่ออก เช่น Many children's stories say the world is full of black and white choices. In reality there are many shades of grey. ประโยคนี้ก็หมายถึง ในนิทานของเด็กมักจะพูดถึงเรื่องราวที่มีแต่ด้าน ดีกับด้านชั่วร้ายไปเลยแต่ในชีวิตจริงนั้นมันมีทั้งดีและร้ายปะปนกันหลายๆแบบ ดังนั้นการใช้สำนวน black and white คือการตัดสินแบบชัดเจน หรือเป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่า ถูก หรือ ผิด


ความหมายของการเปรียบเทียบสีอื่นๆในสำนวนภาษาอังกฤษ ได้แก่

1. Blue - feeling blue. เราอาจจะคิดว่าสีน้ำเงินหมายถึงความเย็น ความสดใส แต่จริงๆแล้วหมายถึงเศร้า

2. Green -feeling green with envy แบบนี้แปลว่า อิจฉา - แต่ก็มีการใช้สีเขียวในแง่บวก หรือพูดถึงธรรมชาติ และอีกลักษณะที่ใช้คือ “greenies” พูดถึงเด็กใหม่ น้องใหม่ที่เปรียบเหมือนใบไม้ หรือผลไม้ที่ยังเขียวอยู่

3. Yellow - tie a Yellow Ribbon ริบบิ้นสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง และการจดจำ แต่หลายครั้งใช้สีเหลืองเพื่อให้ความหมายแง่ลบ เช่น Yellow Journalism (การรายงานข่าวอย่างไม่มีจรรยาบรรณ) ส่วนYellow Bellied และ Yellow Streak หมายถึงความขี้ขลาด (มาจากสีของไก่ เพราะฝรั่งถ้าว่าเค้าว่า หมา หรือ ควาย เค้าอาจจะไม่โกรธ แต่ถ้าด่าว่าเป็น ไก่ “chicken” เค้าน่าจะไม่พอใจมากกว่าเพราะมันหมายถึงคนขี้ขลาด เพราะไก่จะตกใจกลัวง่ายๆ)

4. Pink – be in the pink ส่วนมากหมายถึงการมีสุขภาพดีมากๆ หรือ อารมณ์ดีมากๆ

5. Red –คืออารมณ์โกรธคล้ายๆกับคนไทย

การเปรียบเทียบที่เหมือนและต่างกันของภาษาไทย กับภาษาอังกฤษ

หลายๆครั้งการเปรียบเทียบในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ไม่สามารถเปรียบเทียบในแบบเดียวกันได้เช่นที่คนไทยบอกว่า ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ภาษาอังกฤษกลับเปรียบเทียบไปในหลายๆแบบ เช่น As easy as pie ซึ่งจะหมายถึง ง่ายเหมือนกินพาย หรืออีกคำที่เป็นที่นิยม คือ Piece of cake และ Walk in the park หมายถึง ง่ายเหมือนกินเค้ก หรือ เหมือนการเดินเล่น และยังมีคำว่า Cakewalk ซึ่งหมายถึงเรื่องที่ ง่ายมากๆ เหมือนกัน เช่นWinning the game was a cakewalk for him.
การที่มีการพูดว่า โง่เหมือนควาย แน่นอนว่าฝรั่งจะไม่เข้าใจเพราะไม่เห็นว่าควายจะโง่ตรงไหน แต่เขาเปรียบเทียบว่า โง่เหมือนล่อ เหมือนห่าน หรือ เหมือนสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิตอย่างขอนไม้ หรือ เสาแทน เช่น as silly as a mule / a goose , as stupid as a log/ a post


แต่ก็ไม่ใช่ว่าการเปรียบเทียบในภาษาไทยกับอังกฤษจะต่างกันเสมอไป ยังไงก็ยังมีการเปรียบเทียบจำนวนไม่น้อยที่คนไทยและฝรั่งใช้และเข้าใจตรงกัน ไปดูตัวอย่างการเปรียบเทียบต่างๆในภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ทำให้การเขียนดูน่าสนใจมากขึ้น หรือ ไว้ไปพูดกับเพื่อนๆชาวต่างชาตินะคะ






แบบที่เหมือน หรือใกล้เคียงกับภาษาไทย

1. ขาวเหมือนผี as white as a ghost / sheet (กระดาษ) / snow (หิมะ)

2. ตาดีเหมือนเหยี่ยว have eyes like a hawk / Hawkeye

3. เสียงใสเหมือนระฆัง as clear as bell

4. อิสระเหมือนนก as free as a bird

5. ลื่นเหมือนปลาไหล(คน) as slippery as an eel

6. ดำเหมือนถ่าน as black as coal

7. เร็วในพริบตา as quick as a wink

แต่ที่น่าสนใจจริงๆน่าจะเป็นพวกที่ไม่เหมือนกันมากกว่า ลองมาดูกันนะคะว่าฝรั่งเค้าเปรียบเทียบ หรือมองสิ่งต่างๆ เหมือนหรือต่างจากเราแค่ไหน

1. แห้งเหมือน........ as dry as a bone / bone-dry (แห้งเหมือนกระดูก)

2. ยุ่งเหมือน........ as busy as a bee (ยุ่งเหมือนผึ้ง)

3. แข็งแรงเหมือน..... as strong as an ox (แข็งแรงเหมือนวัว)

4. กินเก่งเหมือน.... eat like a horse (กินเก่งเหมือนม้า)

5. เงียบเหมือน .... as quiet as a mouse (เงียบเหมือนหนู)

6. หิวเหมือน.... as hungry as a wolf (หิวเหมือนหมาป่า)

7. หลับนิ่งเหมือน... sleep like a log (หลับนิ่งเหมือนขอนไม้)
8. ตาบอดเหมือน...(มองไม่เห็น) as blind as a bat              (มองไม่เห็นอะไรเหมือนเป็นค้างคาว)